ผู้ติดตาม

Contact

about me

gallery

วันพฤหัสบดีที่ 9 สิงหาคม พ.ศ. 2555

ติวภาษาอังกฤษด้วยตัวเอง

 หากเราต้องการทำคะแนนGATให้ได้สูง เราก็ต้องหมั่นฝึก อ่าน เขียน ภาษาอังกฤษด้วย วันนี้ผมมีบทความดีๆมาฝากนะครับ เป็นอีกแนวทางหนึ่งที่จะทำให้เราเก่งภาษาอังกฤษได้ในช่วงเวลาที่มีจำกัด ชื่อบทความว่า"วิธีฝึกปรือภาษาอังกฤษ : คำแนะนำบางประการที่ช่วยให้คุณเก่งอังกฤษ" บทความนี้ผมได้มาจากเวบ  learningpune เชิญอ่านในสุขสมอุราได้ครับ 


นี่คือคำแนะนำบางประการที่อาจช่วยให้คุณเก่งภาษาอังกฤษได้
Here are some tips which may help you to master the English Language!
1) พูดโดยปราศจากความกลัว : Speak without Fear
 
ปัญหาใหญ่ที่สุดของคนส่วนใหญ่ที่ต้องเผชิญในการเรียนรู้ภาษาใหม่คือ ความกลัวของตัวเอง พวกเขาวิตกกังวลว่าพวกเขาจะพูดบางสิ่งไม่ถูกต้อง หรือ กังวลว่าพวกเขาจะดูโง่เง่า ดังนั้นพวกเขาจึงไม่พูดเลย อย่าทำอย่างนี้ วิธีที่รวดเร็วที่สุดในการเรียนรู้สิ่งต่างๆ ก็คือ ทำมัน ซ้ำแล้วซ้ำเล่า จนกว่าคุณจะเข้าใจมันได้อย่างถูกต้อง เช่นเดียวกับสิ่งต่างๆ การเรียนรู้ภาษาอังกฤษต้องการการปฏิบัติ อย่าปล่อยให้ความกลัวเล็กๆน้อยๆ หยุดยั้งคุณจากการได้รับสิ่งที่คุณต้องการ
 
The biggest problem most people face in learning a new language is their own fear.  They worry that they won’t say things correctly or that they will look stupid so they don’t talk at all.  Don’t do this.  The fastest way to learn anything is to do it – again and again until you get it right.  Like anything, learning English requires practice.  Don’t let a little fear stop you from getting what you want. 
 
2) ใช้ทรัพยากรทั้งหมดที่คุณมี : Use all of your Resources
 
แม้ว่าคุณจะเรียนภาษาอังกฤษที่โรงเรียนภาษา แต่ไม่ได้หมายความว่าคุณไม่สามารถที่จะเรียนรู้จากนอกชั้นเรียนได้ การใชัทรัพยากร วิธีการ และเครื่องมือต่างๆ ให้มากเท่าที่จะเป็นไปได้ จะช่วยให้คุณเรียนรู้ได้เร็วขึ้น มีวิธีการต่างๆ กันมากมายที่คุณสามารถใช้ปรับปรุงภาษาอังกฤษของคุณ ดังนั้นอย่าจำกัดตัวเองแค่เพียงหนึ่งหรือสองวิธีเท่านั้น อินเตอร์เน็ตก็เป็นแหล่งข้อมูลที่ยอดเยี่ยมอย่างหนึ่งโดยแท้ แต่สำหรับผู้ที่เรียนรู้ภาษาแล้วมันเป็นแหล่งข้อมูลที่สมบูรณ์แบบ
 
Even if you study English at a language school it doesn’t mean you can’t learn outside of class.  Using as many different sources, methods and tools as possible, will allow you to learn faster.  There are many different ways you can improve your English, so don’t limit yourself to only one or two.  The internet is a fantastic resource for virtually anything, but for the language learner it’s perfect.
 
3) แวดล้อมตัวคุณเองด้วยภาษาอังกฤษ : Surround Yourself with English
 
วิธีการที่ดีที่สุดโดยแท้ในการเรียนภาษาอังกฤษก็คือทำให้ภาษาอังกฤษ นั้นอยู่โดยรอบตัวเรา จดบันทึกเป็นภาษาอังกฤษ วางหนังสือภาษาอังกฤษไว้รอบห้องของคุณ ฟังวิทยุกระจายเสียงภาษาอังกฤษ ดูทีวีข่าว และหนังภาษาอังกฤษ พูดภาษาอังกฤษกับเพื่อนๆ เมื่อใดก็ตามที่ทำได้ ยิ่งมีวัสดุที่เป็นภาษาอังกฤษล้อมรอบตัวคุณมากเท่าใด คุณก็ยิ่งจะได้เรียนรู้ภาษาอังกฤษได้เร็วมากขึ้น และยิ่งเป็นไปได้มากขึ้นถ้าคุณเริ่ม “คิดเป็นภาษาอังกฤษ”
 
The absolute best way to learn English is to surround yourself with it.  Take notes in English, put English books around your room, listen to English language radio broadcasts, watch English news, movies and television.  Speak English with your friends whenever you can. The more English material that you have around you, the faster you will learn and the more likely it is that you will begin “thinking in English.” .
 
4) ฟังเจ้าของภาษาพูดให้มากที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้ : Listen to Native Speakers as Much as Possible
 
มีครูสอนภาษาอังกฤษดีๆ บางคนที่ต้องเรียนภาษาอังกฤษเป็นภาษาที่สองก่อนที่พวกเขาจะสามารถสอนได้ อย่างไรก็ตามก็มีหลายเหตุผลที่ทำไมโรงเรียนที่ดีที่สุดหลายแห่งชอบที่จะจ้าง ครูที่พูดภาษาอังกฤษมาแต่กำเนิดมากกว่า เหตุผลหนึ่งก็คือ คนที่พูดภาษาอังกฤษมาแต่เกิดนั้นจะพูดลื่นไหลเป็นธรรมชาติ ที่นักเรียนในชั้นเรียนภาษาอังกฤษควรพยายามทำตามอย่าง ยิ่งนักเรียนที่เรียนในชั้นเรียนภาษาอังกฤษเป็นภาษาที่สองเข้าใจถึงจังหวะจะ โคนหรือความลื่นไหลของภาษามากเท่าใด ก็ยิ่งพวกเขาก็ยิ่งพูดได้อย่างสะดวกและมั่นใจยิ่งขึ้น
 
There are some good English teachers that have had to learn English as a second language before they could teach it.  However, there are several  reasons why many of the best schools prefer to hire native English speakers. One of the reasons is that native speakers have a natural flow to their speech that students of English should try to imitate.  The closer ESL / EFL students can get to this rhythm or flow, the more convincing and comfortable they will become. 
 
5) ดูหนังหรือโทรทัศน์ที่เป็นภาษาอังกฤษ : Watch English Films and Television
 
นี่ไม่เพียงเป็นแนวทางที่สนุกสนานในการเรียนเท่านั้น แต่ยังเป็นวิธีที่มีประสิทธิภาพด้วย โดยการดูหนังภาษาอังกฤษ (โดยเฉพาะที่มีคำบรรยายข้างล่างเป็นภาษาอังกฤษ) คุณจะสามารถเพิ่มศัพท์และก็ฟังถ้อยคำที่ลื่นไหลจากนักแสดงต่างๆ ถ้าคุณฟังข่าวคุณก็สามารถได้ยินสำเนียงภาษาที่แตกต่างกัน
 
This is not only a fun way to learn but it is also very effective.  By watching English films (especially those with English subtitles) you can expand your vocabulary and hear the flow of speech from the actors.  If you listen to the news you can also hear different accents.
 
6) ฟังเพลงภาษาอังกฤษ : Listen to English Music
 
เพลงสามารถป็นวิธีการเรียนรู้ภาษาอังกฤษที่มีประสิทธิภาพมากวิธีหนึ่ง ที่จริงแล้วมักจะใช้เพลงเป็นวิธีการที่จะปรับปรุงความรู้ความเข้าใจภาษา วิธีที่ดีที่สุดในการเรียนรู้ก็โดยผ่านการฟัง และการพยายามที่จะอ่านออกมาเช่นเดียวกับที่ศิลปินร้องเพลง มีแหล่งอินเตอร์เน็ตที่ดีๆ มากมายที่คุณสามารถค้นหาเนื้อเพลงส่วนใหญ่ได้ วิธีนี้เองที่คุณสามารถที่จะฝึกการฟังและการอ่านในเวลาเดียวกันได้ และถ้าคุณชอบร้องเพลงด้วยแล้ว ยิ่งดีเลย
 
Music can be a very effective method of learning English.  In fact, it is often used as a way of improving comprehension.  The best way to learn though, is to get the lyrics (words) to the songs you are listening to and try to read them as the artist sings.  There are several good internet sites where one can find the words for most songs. This way you can practice your listening and reading at the same time.  And if you like to sing, fine.
 
7) ศึกษาให้บ่อยเท่าที่จะบ่อยได้ : Study As Often As Possible!
 
มีเพียงการเรียนสิ่งเหล่านี้ เช่น ไวยากรณ์ และศัพท์ และการฝึกฝนเท่านั้น ที่คุณสามารถปรับปรุงความรู้ทางภาษาใดๆ ได้อย่างแท้จริง
 
Only by studying things like grammar and vocabulary and doing exercises, can you really improve your knowledge of any language. 
 
8) ฝึกหัดและทดสอบ : Do Exercises and Take Tests
 
คนจำนวนมากคิดว่าการฝึกฝนและการทดสอบไม่สนุก อย่างไรก็ตามโดยการฝึกฝนและทดสอบอย่างเต็มที่ คุณก็สามารถที่จะปรับปรุงภาษาอังกฤษได้โดยแท้ หนึ่งในเหตุผลที่ดีที่สุดในการฝึกฝนและทำแบบทดสอบจำนวนมากก็คือ คุณจะได้เกณฑ์มาตรฐานสำหรับเปรียบเทียบกับผลลัพท์ในอนาคตของคุณ บ่อยครั้งที่การเปรียบเทียบคะแนนทดสอบของคุณเมื่อวานนี้กับเมื่อ 1 เดือน หรือ 6 เดือนที่แล้ว ที่คุณได้ตระหนักว่าคุณได้เรียนรู้ไปมากมายเพียงใดแล้ว ถ้าคุณไม่เคยทดสอบตนเอง คุณก็จะไม่มีทางทราบเลยว่าคุณก้าวหน้าไปมากน้อยเท่าไหร่ เริ่มต้นเดี๋ยวนี้เลย โดยการฝึกฝนและทำการทดสอบบางอย่างจาก ที่นี่ และ กลับมาอีกใน 2-3 วัน เพื่อดูว่าคุณได้เรียนรู้อะไรบ้าง ทำอย่างนี้อย่างต่อนื่อง และคุณก็จะทำให้ภาษาอังกฤษของคุณก้าวหน้าขึ้นบ้างอย่างแท้จริง
 
Many people think that exercises and tests aren’t much fun.  However, by completing exercises and taking tests you can really improve your English. One of the best reasons for doing lots of exercises and tests is that they give you a benchmark to compare your future results with.  Often, it is by comparing your score on a test you took yesterday with one you took a month or six months ago that you realize just how much you have learned.  If you never test yourself, you will never know how much you are progressing. Start now by doing some of the many exercises and tests on this site, and return in a few days to see what you’ve learned. Keep doing this and you really will make some progress with English.
 
9) บันทึกเสียงตัวเอง : Record Yourself
 
ไม่มีใครชอบฟังเสียงของตนเองในเทป แต่ก็เช่นเดียวกับการทดสอบ มันดีที่จะเปรียบเทียบเทปเสียงของคุณเมื่อเวลาผ่านไป คุณอาจรู้สึกประทับใจกับความก้าวหน้าที่คุณทำมันอยู่มากเสียจนคุณไม่สนใจกับ เสียงของคุณมากเท่าใดนัก
 
Nobody likes to hear their own voice on tape but like tests, it is good to compare your tapes from time to time.  You may be so impressed with the progress you are making that you may not mind the sound of your voice as much.
 
10) ฟังภาษาอังกฤษ : Listen to English
 
โดยวิธีนี้ เราหมายถึง การพูดโทรศัพท์ หรือการฟังวิทยุกระจายเสียง หนังสือเสียง หรือ ซีดี ต่างๆ เป็นภาษาอังกฤษ นี่แตกต่างจากการดูโทรทัศน์หรือภาพยนตร์ เพราะคุณสามารถไม่สามารถห็นตัวบุคคลที่กำลังพูดกับคุณ ผู้เรียนภาษาอังกฤษหลายคนกล่าวว่า การพูดโทรศัพท์เป็นวิธีหนึ่งที่ยากที่สุดที่พวกเขาทำ และวิธีเดียวเท่านั้นที่จะปรับปรุงภาษาก็คือ การฝึกปฏิบัติ
 
By this, we mean, speak on the phone or listen to radio broadcasts, audiobooks or CDs in English. This is different than watching the television or films because you can’t see the person that is speaking to you.  Many learners of English say that speaking on the phone is one of the most difficult things that they do and the only way to improve is to practice."

วันพุธที่ 8 สิงหาคม พ.ศ. 2555

ติวGATกับช่วงเวลาสั้นๆ

อย่าดูถูกเวลาช่วงสั้นๆที่เรามีในแต่ละวัน เพราะหากรวมกันเข้าแล้ว อาจทำประโยชน์ได้มากมาย ประโยคที่ยินบ่อย ๆ ก็คือ “Everything adds up.”
ถ้าเรามีหนังสือสาคัญเล่มหนึ่งที่ต้องอ่านให้จบ แต่จะรอเวลาว่างยาว ๆ เพื่ออ่านรวดเดียวให้จบ คงเป็นไปได้ไม่ง่ายนัก
เพราะเวลายาว ๆ เช่นนั้นคงหายาก ถึงแม้จะหาได้แล้ว แต่เราอาจจาเป็นต้องเอาไปใช้ทาอย่างอื่นที่สาคัญกว่า หรือถ้ามุ่งมั่น
ใช้เวลานั้นอ่านจริงจัง ก็จะเป็นงานที่หนักหนาเอาการ และไม่สนุกเท่าที่ควร
อย่างไรก็ดี ถ้าเราใช้เวลาวันละหนึ่งชั่วโมงอ่านหนังสือเล่มนั้นวันละนิดละหน่อยสะสมหน้ากันเข้า ก็อาจจบได้ในสอง
อาทิตย์ หรือหนึ่งเดือนอย่างไม่ต้องตรากตรา และเป็นภาระหนัก
การอ่านคือการเรียนรู้ และการเรียนรู้คือการพัฒนาความสามารถของตนเอง และสร้างความเข้าใจในเรื่อง
ต่าง ๆ ที่ไม่รู้มาก่อน จนเป็นประโยชน์ต่อตนเอง และสังคมมากขึ้น
ผู้ที่ไม่สนใจ หรือรู้เรื่องการเงินการทองมาก่อน จนในที่สุดสถานการณ์บังคับ ก็สามารถเรียนรู้จากหนังสือวันละเล็ก
วันละน้อยได้เช่นเดียวกัน โดยไม่ต้องคอยหาเวลาว่างยาว ๆ เรียนรู้สิ่งเหล่านี้
น้าแต่ละหยดประกอบกันขึ้นเป็นมหาสมุทร ทรายแต่ละเม็ดประกอบกันขึ้นเป็นหาดทราย เงินแต่ละบาท
ประกอบกันขึ้นเป็นเงินแสนเงินล้าน เวลาก็เช่นเดียวกัน แต่ละช่วงสั้น ๆ เมื่อรวมกันเข้าแล้วก็เป็นช่วงเวลายาว
เพียงพอสาหรับการเรียนรู้อย่างมีประสิทธิภาพได้
อย่างเรื่องการเรียนรู้ภาษาอังกฤษในระดับที่ใช้งานได้ ซึ่งเป็นปัจจัยสาคัญของความกินดีอยู่ดีในโลกปัจจุบัน มี
งานวิจัยพบว่า ถ้ารู้คาศัพท์อังกฤษเพียง 4,000 คา ก็จะครอบคลุมประมาณร้อยละ 95 ของคาที่ใช้ในแต่ละวัน เพราะ
คาศัพท์เป็นปัจจัยแรกของการเข้าใจภาษา สมมุติว่าไม่รู้สักคา แต่มีความมุ่งมั่นต้องการรู้ 4,000 คานี้ ถ้าใช้เวลาเล็กน้อยใน
แต่ละวันประกอบกัน ก็สามารถเรียนรู้ได้ทั้งหมดในเวลาเพียงสองปีเศษเท่านั้น
ช่วงเวลาว่างในแต่ละวัน ได้แก่ ตอนรถติด เวลาคอยนัด เวลาเปลี่ยนคาบเรียน เวลานั่งพักผ่อน ฯลฯ ถ้าสังเกต
ดูจะเห็นว่า มีช่วงเวลาสั้น ๆ เช่นนี้อยู่มากมายอย่างเพียงพอต่อการเรียนรู้ศัพท์ 5 คาต่อวัน ประเด็นอยู่ตรงที่ว่า มีวินัย มี
ความมุ่งมั่น และจริงกับมันเพียงใดเท่านั้นเอง
ลองจินตนาการดูว่า ถ้าต้องมานั่งท่องคาศัพท์ 2,000 หรือ 4,000 คาในเวลาว่างต่อเนื่องกัน 2-3 เดือนนั้น จะรู้สึกอึด
อัด และขาดประสิทธิภาพเพียงใด
การใช้เวลาช่วงสั้น ๆ ให้เป็นประโยชน์ คือการใช้ทรัพยากรที่แต่ละคนได้รับมาไม่เท่ากัน เพื่ออยู่บนโลก
ใบนี้อย่างมีประสิทธิภาพนั่นเอง.

ฝ่ายวิชาการ วิทยาลัยนาฏศิลปสุโขทัย

เทคนิคจำศัพท์ภาษาอังกฤษ

แม้เหตุการณ์ผ่านเลยไปหลายปีมากๆๆแต่เมื่อคืนผมก็ยังฝันเห็นเหตุการณ์นั้น เหตุการณ์ตอนที่ผมต้องสอบGAT  ไม่ใช่ซิต้องเรียกว่า สอบ entrance คือ สมัยผมไม่มีการสอบ GATPAT เมื่อไม่มีการสอบ ย่อมไม่มีการติว GAT หรือสอน PAT  มีก็แต่ ติวเข้ม entrance หรือ บางครั้งก็จะมีสถาบันกวดวิชาที่ลงข้อความไว้ว่า ent ไม่ติดคือเงินค่าเรียน อะไรประมาณนั้น

วันนี้ผมได้ไปอ่านบล็อกที่ EXTEEN BLOG  บล็อกที่ผมอ่านเป็นบล็อกที่เกี่ยวกับ เรื่องราวจำเป็นสำหรับคนอยากเรียนต่อเมืองนอก + แรงบันดาลใจดีๆ 
 
ซึ่งก็มีแต่เรื่องราวดีๆและจำเป็นจริงๆด้วยครับ 
เจ้าของบล็อก(ผมไม่ทราบว่าชื่ออะไร)ได้เขียนบอกเล่าเรื่องราวเทคนิคการจำศัพท์ภาษาอังกฤษที่รุ่นพี่ของผู้เขียนได้ใช้ในการสอบ  SAT จนได้ Critical reading 760
 
เทคนิคเล่านี้ผู้เขียนบอกว่าสามารถนำไปใช้กับการท่องศัพท์ จำศัพท์เพื่อสอบ GAT หรือ O-net ก็ได้
 
ผมเองก็ขอสรุปและขอแปลงสารเล็กๆน้อยเพื่อความเข้าใจและเพื่อเป็นการง่ายแก่การนำไปใช้สำหรับผมนะครับ ผมสรุปวิธีจำศัพท์ดังนี้ครับ

เรื่องของการจำคำศัพท์ ไม่ว่าจะใช้เพื่อสอบ GAT หรือ O-net สิ่งที่ขาดไม่ได้ก็คือความขยันและความสม่ำเสมอนะครับ สมมุติถ้าเทคนิคสามารถช่วยได้สัก 30 เปอร์เซนต์ อีก 70 คือความตั้งใจและสม่ำเสมอครับ สิ่งที่เทคนิคช่วยได้ก็คือ ประหยัดเวลา และพลังงานของเราลง ในเวลาจำกัด เราจะสามารถท่องได้มากขึ้น
 

 
1. การจำ Prefix และ Sub-fix 
 
วิธีนี้เป็นที่นิยมมาก โดยเฉพาะตามโรงเรียนกวดวิชา อย่างเช่นเรารู้คำว่า Increase แปลว่าเพิ่มขึ้น ดังนั้น de- ที่แปลว่า down decrease ก็แปลว่าลดลง
หรืออย่าง Polyonymous
Poly แปลว่า มากมาย และ onymous ก็แปลว่า name รวมกันก็ หลายชื่อนั่นเอง
 
ส่วน subfix ก็คือ การเปลี่ยนหน้าที่ของคำเป็น Adj Verb Noun นั่นเอง ครูหลายคนบอกว่าควรท่องแต่เราก็ยังท่องไม่ได้สักที จริงๆ ถ้าเห็นบ่อยๆ จะจำได้เอง
 
 
2.รวบรวมคำที่มีความหมายเหมือนกัน
 
ก็คือการรวบรวมคำที่ความหมายเหมือนๆกัน ไว้ด้วยกันนั่นเอง ถ้าเราท่องทั้งกลุ่มได้ เช่น Get gain attain 
ถึงเราไม่รู้คำว่า attain แต่เราก็จะรู้่ว่า get ก็แปลว่าได้รับเหมือนกัน
 
 
3. จำคำศัพท์แบบเชื่อมโยง
 
คือการเชื่อมเสียงกับชีวิต ประจำวัน โดยตัวเรา(เพรฟ) ใช้วิธีนี้บ่อยมาก เพราะจะจำได้เร็วและนาน ยิ่งทำให้ตลกเท่าไหร่ ยิ่งจำได้แม่นไม่มีลืม
 
ตัวอย่าง คำว่า Pugnacious เราเห็น Pug แปลว่า ผลัก ผลัก คนที่ชอบผลักคนอื่นก็คือคนที่ชอบทะเลาะวิวาท สรุป ก็แปลว่าคนที่ชอบทะเลาะนันเอง
 
หรืออย่าง insidious ก็ Inside แปลว่าข้างใน ข้างในจิตใจคนมีเล่ห์เหลี่ยม (insidious แปลว่า ที่มีเล่ห์เหลี่ยม)
 
ยิ่งถ้าเราทำท่าประกอบด้วย จะจำได้เร็วมากขึ้น แต่คนอาจหาว่าบ้าก็ได้55+
 
 
4.จำคำศัพท์ร่วมกับคนอื่น 
 
การทอ่งศัพท์คนเดียวบางครั้ง ก็ดูเหมือนเป็นการเรียนแบบ Passive จนเกินไป ผลักกันท่องศัพท์กับเพื่อน ก็คือการเรียนแบบ Active และทำให้เราไม่เบื่อจนเกินไป
 
 
5.อ่านคำศัพท์ที่อยู่ในประโยค
 
ไม่รู้ว่าอยู่ในวิธีการท่อง ศัพท์รึปล่าว แต่การได้อ่านคำในประโยค จะฝึกให้เราเดาศัพท์ในบริบทได้เก่งขึ้น  เพราะเราไม่มีทางรู้ทุกคำในข้อสอบได้แน่
อีกอย่าง การเห็นคำในประโยค จะช่วยให้เราใช้คำไ้ด้ถูกต้อง
 
 
6. การทำ Notecard หรือ แผ่นช่วยจำ
 
ตัดกระดาษขนาดฝ่ามือ เราชอบใช้กระดาษสีอ่อนๆ มีหมดเลยทั้ง ชมพู เขียว ฟ้า ส้ม ตัดเป็นปึกๆ เจาะรูแล้วใช้ห่วงสีทองๆ ให้มันอยู่ด้วยกันเป็นปึก หรือไม่ก็ มัดยางเอาไว้ด้วยกันก็ได้
 
วิธีการคือ เขียนคำศัพท์ไว้หน้าหนึ่ง และอีกหน้าหนึ่งก็เขียนคำแปล อาจเพิ่มหน้าที่ของคำว่าเป็น นาม กริยา และอาจมีตัวอย่างประโยคด้วยก็ได้ แล้วแต่ความขยัน
 
วิธีนี้เด็กนักเรียนเมืองนอก ทำกันมานานแล้ว แต่บ้านเราเหมือนกำลังฮิตกันมาก กระดาษของ Double A ก็มีขาย แต่แอบแพง ปึกหนึ่งสัก 100 กว่าแผ่น ตั้ง 20-30 บาท เราทำเอง ได้ 100 แผ่น กระดาษสีแผ่นใหญ่ๆ 5 บาทเอง (คือเราว่าง)
 
วิธีนี้ดีกว่าจำในสมมติยังไง เพราะบางคำในสมุด เราจะเรียงคำแปลได้ เช่น
 
Utopia ดินแดนในอุดมคติ
Apex จุดสูงสุด
 
หลายคน พอเห็นดินแดนในอุดมคติ ก็จะจำได้แล้ ว่าต่อไปคือ จุดสูงสุด โดยไม่ต้องมอง Apex ซึ่งมันผิดวัตถุประสงค์ในการท่องศัพท์
 
ตอนเราท่องแบบใช้ notecard เรานั่งสับเหมือนสับไพ่เลย
 
อีกอย่างหนึ่ง การท่องในสมุด บางทีหางตาเราอาจไปเห็นคำแปลก็ได้
 
หรือไม่ ก็ขี้เกียจ เปิดมา ศัพท์เต็มหน้า ไปนอนดีกว่า แต่อันนี้คำละแผ่เอง
 
 
 
 
 

วันอังคารที่ 7 สิงหาคม พ.ศ. 2555

ติว GAT พาธ Reading Comprehension

  จากบทความที่ผมเขียนเองตอนที่แล้วเรื่องติวGATภาษาอังกฤษ ผมได้กล่าวไว้ว่า พาธที่ออกสอบมากสุด คะแนนเยอะสุด และเราต้องเก็บคะแนนส่วนนี้ให้ได้ ก็คือ  พาธ Reading Comprehension  เหตุผลที่มันง่าย ก็เพราะว่าบางครั้งเราอาศัยประสบการณ์ที่เรามีอยู่แล้วในภาคภาษาไทยเช่น ผมชอบเรื่องการออกกำลังกาย ข้อสอบ พาธ Reading Comprehension ออกเรื่องการวิ่ง หรือ บาสเก็ตบอล ผมย่อมแปลได้โดยที่รู้ศัพท์ไม่กี่ตัวก็เป็นไปได้ครับ

   แต่กระนั้นเราก็ควรจะฝึกอ่านเพื่อใ้หสมองเราคุ้นเคยกับภาษาอังกฤษคุ้นเคยกับศัพท์ซึ่งจะทำให้เราเดาแนวทางการแปลได้ง่ายๆๆครับ การฝึกอ่านบทความภาษาอังกฤษไม่ได้ช่วยให้เราทำคะแนน GAT ภาษาอังกฤษ พาธ Reading Comprehension ดีขึ้นแค่พาธเดียวนะครับ มันยังส่งผลให้เราสามารถเก็บคะแนนพาธ  Vocabulary Test ได้อีกด้วย  เรียกได้ว่า"ยิงปืนนัดเดียวได้นกสองตัว"

  เนื่องจากความละโมบของผม ผมอยากได้นก 4 ตัว โดยลั่นไกเพียง 1 นัดครับ ผมจึงทำแบบนี้ครับ คืออ่านข่าวภาษาอังกฤษ ซึ่งทำให้ผมได้ฝึกทักษะในการทำข้อสอบ GATพาธ ภาษาอังกฤษ ทั้งส่วน Reading Comprehension และ Vocabulary Test  แต่ผมยังรู้ข่าว รู้เหตุการณ์ปัจจุบัน เรียกได้ว่าไม่ตกยุคครับ 

  ข้อดีของการอ่านบทความข่าวภาษาอังกฤษอีกอย่างนะครับ คือ ศัพท์ข่าวเป็นศัพท์ร่วมสมัยที่คนใช้กันโดยทั่วไป การลงทุนจำศัพท์พวกนี้ไม่มีการขาดทุน เพราะได้ใช้อยู่เสมอ ในการฟัง – พูด – อ่าน – เขียน ซึ่งหมายความว่าข้อสอบGATก็มีโอกาสนำศัพท์พวกนี้มาออกสอบครับ

 ข่าวภาษาอังกฤษ ที่ยอดฮิต การันตีว่าเหมาะแก่การอ่านเพื่อนทำคะแนนในการสอบGAT ไม่ว่ายุคไหน สมัยไหน ก็หนีไม่พ้น  student-weekly สมัยที่ผมเป็นนักเรียน ไม่มีอินเตอร์เน็ต อยากอ่านต้องซื้อนิตยสารราคา 15 บาทอ่านครับ  

 ผมยังจำได้ครั้งแรกที่ผมเจอกันกับแฟนผม ผมชวนหล่อนไปซื้อนิตยสาร student-weekly เพื่อเตรียมตัวสอบเข้ามหาวิทยาลัยครับ ผมมีเงิน 10 บาท เลยต้องยืมแฟน 5 บาท ซึ่งเงิน 5 บาททำให้ผมมีข้อ้างจะไปหาเธอที่ห้อง...เรียนครับ แฮะๆๆ

ตัวอย่างบทความข่าวภาษาอังกฤษเหมาะในการอ่านเพื่อเตรียมสอบGATมากครับ 


ท้ายบทความจะมีคำศัพท์ให้ด้วยนะครับ 

cabinet – the group of government ministers who make and approve government policy คณะรัฐมนตรี
approve – to give official permission อนุมัต
inundate – to flood; to submerge ท่วม, ทำให้จมลงใต้น้ำ
Royal Irrigation Department – The Thai government department in charge of the country's irrigation system กรมชลประทาน
press ahead – to continue as planned despite difficulties ดำเนินการ
implementation – the process of making something such as a plan, system, idea or law start to work and be used การบังคับใช้ (กฎหมาย)
environmentalist – someone who wants to protect the environment นักสิ่งแวดล้อม, คนที่ทำงานด้านรักษาสิ่งแวดล้อม
step up – to increase; to cause to happen at a faster rate เร่ง
oppose – to disagree with or not approve of a plan or policy คัดค้าน
defy – to refuse to obey or accept someone or something ฝ่าฝืน,ไม่เชื่อฟัง, เป็นปฏิปักษ์ต่อ
activist – someone who takes part in activities that are intended to achieve political or social change, especially someone who is a member of an organisation นักกิจกรรม
controversial – causing disagreement ซึ่งก่อให้เกิดการโต้แย้ง
protest – a strong complaint or disagreement การประท้วง
environmental impact assessment – an evaluation/research project into the possible positive or negative effects that a proposed project may have on the environment การประเมินผลกระทบสิ่งแวดล้อม
submit – to formally give something to someone so that can make a decision about it ยื่น (เอกสาร) เพื่อการพิจารณา
residents – people who live in a particular area ประชาชนที่อาศัยในท้องที่
invite – to ask somebody to come to an event เชิญ
construction – the work of building or making something, especially buildings, bridges, etc. การก่อสร้าง
review – the process of studying or examining a situation, policy, or idea again in order to decide whether it is suitable or satisfactory การทบทวน
concern – a worry ความกังวล
wildlife – animals, birds, insects, etc. that are wild and live in a natural environment สัตว์ป่า
set aside – to keep or save something from a larger amount or supply in order to use it later for a particular purpose สำรอง
mitigation – a reduction in the harmful effects of something การบรรเทา การผ่อนคลาย
measure – an action taken to solve a particular problem มาตรการ
budget – an amount of money able to be spent on something งบประมาณ
aim – to have as your purpose or goal มีเป้าหมาย มีจุดมุ่งหมาย
shortage – when there is not enough of something การขาดแคลน
basin – a large area of land whose surface water all flows into a particular river or lake ลุ่มน้ำ
delay – to make something happen at a later time than originally planned or expected เลื่อน
fierce – very strong รุนแรง, ดุเดือด
pristine – in very good condition; unspoiled บริสุทธิ,ดั้งเดิม
rare – not often seen or found หาได้ยาก
species – a set of animals or plants in which the members have similar characteristics to each other and can breed with each other พันธ์,จำพวก
admit – to agree that something is true, especially when you are unhappy, sorry or surprised about it ยอมรับ
encounter – to meet; to experience or deal with something, especially a problem เผชิญกับ (ปัญหา)
local – in or related to the area that you live, or to the particular area that you are talking about ท้องถิ่น
evacuate – to force to leave an area ถูกไล่ที่
pave the way – to make something possible or easier to be done ปูทางไว้สำหรับ
ecological system – the system of relationships between the air, land, water, animals, plants, etc., usually of a particular area ความสัมพันธ์ระหว่างสิ่งมีชีวิตในระบบนิเวศน์
trade-off – to accept a disadvantage so that you can have a benefit; the act of balancing two things that are opposed to each other การต้องเลือกอย่างใดอย่างหนึ่ง, ได้อย่างหนึ่งก็ต้องเสียอีกอย่างหนึ่ง

ขอบคุณ student-weekly มากๆครับ และขอบคุณทุกๆท่านที่เข้ามาอ่านเวบ http://dekamnat.blogspot.com


วันจันทร์ที่ 6 สิงหาคม พ.ศ. 2555

ศัพท์GATออกสอบบ่อย ตอน Flames of Ambition

   เรื่องการสอบGAT หรือ PAT นะครับ เคล็ดลับความสำเร็จน่าจะอยู่ที่การภาษาอังกฤษ...เสพโจทย์...ให้มากที่สุดเท่าที่ทำได้

  ในกรณีภาษาอังกฤษก็อาจดูหนังฟังเพลง...อ่านหนังสือภาษาอังกฤษเยอะๆ พยายามพูดภาษาอังกฤษเยอะๆ (หาคนฝึกพูดด้วย ตามแหล่งท่องเที่ยวหรือ chat เอา)  ในขณะที่หาบทเรียนภาษาอังกฤษจากแหล่งต่างๆมาสอนตัวเองไปเรื่อยๆและสำคัญสุดคือต้องทำโจทย์ ..ทำแบบใช้หัวคิด

  ผมเองก็ต้องศึกษาภาษาอังกฤษ...แม้ว่าไม่จำเป็นต้องสอบGATหรือPATแล้วก็ตาม  แต่ผมขอศึกษาไว้สำหรับสอนลูกสอนหลานนะครับ...อาจกล่าวได้ว่า "รู้ว่าติวGATหลาน"

  พูดถึงภาษาอังกฤษหรือGATพาธ ภาษาอังกฤษ ติวเตอร์ที่ร้อนแรงเป็นบ้าคงหนีไม่พ้นครูสมศรีและครูพี่แนน ผมเคยดูวีดีโอของติวเตอร์ทั้งสองท่าน จุดเ่ด่น จุดที่ผมประทับใจสุดๆของสไตล์การติวของอาจารย์คือ พูดสร้างแรงบัลดาลใจให้กับนักเรียนให้คึก...ฮึก...ลุกมาอ่านหนังสืออีกครั้ง

  พูดถึงแรงบันดาลใจแล้วก็คงต้องวกเข้าเรื่อง GAT พาธ ภาษาอังกฤษนะครับ  ภาษาอังกฤษคำว่าแรงบันดาลใจ คือ ambition และ inspiration ..ทั้งสองแปลว่า แรงบันดาลใจและความทะเยอทะยาน

 
พอผมได้ยินคำว่า inspiration ผมก็คิดถึง Note book ยี่ห้อ dell n4050 ประมาณนี้นะครับ ที่นึกเพราะผมมี dell inspiron n4050 ซึ่งกว่าผมจะซื้อได้ผมได้รับแรงบันดาลใจจากรุ่นน้องผมที่บอกผมว่า dell ดีมาก ใช้มาหลายปีแล้วไม่เคยมีปัญหา


  ambition คำนี้แม้แปลได้สองความหมายคือ แรงบันดาลใจและความทะเยอทะยาน ผมกลับจำในความหมาย ความทะเยอทะยาน สาเหตุที่ผมจำว่าแปลว่าทะเยอทะยานเหรอครับ มันมีที่ไปที่มาแน่นอนครับ ผมจะเล่าให้ฟังครับ

  เรื่องมีอยู่ว่าผมเป็นคนชอบดูหนังครับ ผมเคยได้ดู ซีรีย์เกาหลี เรื่อง Flames of Ambition เป็นเรื่องราวของครอบครัว เครือญาติ และมรดก กล่าวถึงทายาทรุ่นแรกที่กระหายอำนาจและความมั่งคั่ง บรรดาลูกชายของคิมแทจินต่างมุ่งหวังและทะเยอทะยานแก่งแย่งชิงอำนาจกันเพื่อที่จะก้าวขึ้น ไปเป็นประธานของบริษัท เค กรุ๊ป เอ็นเตอร์ไพรซ์ พวกเขาสามารถทำได้ทุกอย่าง ไม่ว่าสิ่งนั้นจะโหดร้าย หรือไร้มนุษยธรรมเพียงใดก็ตาม การวางแผนการต่างๆ ถูกควบคุมและเดินเกมส์โดย ยุนนายอง ภรรยาที่แสนจะทะเยอทะยานของคิมยองมิน เธอพยายามควบคุมสามีและลูกชายของเธอให้เป็นไปตามความต้องการของตนเอง จุดเริ่มต้นของเรื่องราวความรักและการทำลายจึงเริ่มขึ้น


เรืื่อง  Flames of Ambition  เป็นเรื่องของคำทะเยอทะยานของคนในครอบครัว ความทะเยอทะยาน อยากดี อยากเด่น เป็นสิ่งที่ดีครับ ดีกว่าพวกเฉื่อยชา ไม่สร้างอะไร แต่ความทะเยอทะยานต้องควบคู่ไปกับศีลธรรมครับ 

ติวGATภาษาอังกฤษให้ถูกจุด

  ผมตั้งหัวข้อว่า "ติวGATภาษาอังกฤษให้ถูกจุด" ก็เพื่อจะสะท้อนให้ผู้ที่จะต้องสอบGAT ได้อ่านหนังสือถูกเล่ม อ่านหนังสือแล้วสามารถทำข้อสอบได้ หรือแม้กระทั่งเลือกคอร์สติวGATได้ตรงตามวัตถุประสงค์คือ สามารถทำคะแนนในพาธภาษาอังกฤษได้ 60% (เอาแค่ 60%ก่อนละกันครับ)

  เคยได้ยินไหมครับว่า ขยันผิดที่ มีวินัยผิดเวลา ชาตินี้ก็ไม่มีทางประสบความสำเร็จ ยกตัวอย่างนะครับ หากเราต้องการเป็นแพทย์ และเราอ่อนmathมากๆเราก็เลยทุ่มเทเวลาในการอ่านmathมากกว่าวิชาภาษาอังกฤษซึ่งเป็นวิชาที่เราถนัด

  ผลจะเป็นอย่างไรครับ ผลก็คือเราใช้เวลา 30 ชั่วโมงเพื่อเพิ่มคะแนนmath 3 คะแนน แต่หากเราเอาเวลา 30 ชั่วโมงมาอ่านวิชาภาษาอังกฤษที่เราถนัดละครับ ผลก็น่าจะเป็นว่าเราสามารถทำคะแนนเพิ่ม 30 คะแนน ถูกต้องตามหลักเหตุและผลนะครับ


ข้อสอบภาษาอังกฤษในสนาม Admission หรือสนามไหนๆ ก็หนีไม่พ้นรูปแบบเหล่านี้ครับ

• พาธ Error Identification สำหรับผมพาธนี้ยากมาก รูปแบบโจทย์เราต้องงัดความรู้ทาง Grammar และความเชี่ยวชาญในการหาสังเกตจุดผิดที่มีอยู่ทั้งหมดออกมาใช้  แค่ Grammar ก็แย่ละครับ

• พาธ Cloze Test & Sentence Completion ซึ่งเป็นข้อสอบที่สามารถออกมาเพื่อวัดความรู้ด้าน
Grammar & Vocab ได้ทั้ง 2 ด้านและมีออกมาทุกปี ทุกสนาม เป็นแนวโจทย์ที่น้องๆ ไม่ควรมองข้าม

Reading Comprehension เป็น Part ที่ออกมากที่สุดและเราต้องเก็บคะแนนส่วนนี้ให้ได้ครับ เพราะคะแนนในพาธนี้เยอะมาก เห็นแล้วน้ำลายไหล พาธนี้จะว่ายากก็ยากนะครับ  เพราะต้องใช้ทักษะทุกด้านไม่ว่าจะ Grammar, Vocab รวมไปถึง Structure ก็ต้องแม่น ซึ่งบางครั้ง บางคราว เราอ่านออกทุกตัว แถมรู้คำศัพท์ด้วย(เปิดดิก) แต่แปลไม่รู้เลย  ครับมันยากมาก แต่อยากให้เราทำข้อสอบส่วน Reading Comprehension ก่อน Error Identification เพราะอะไรเหรอครับ บางเรื่องบางเรื่องที่นำมาออกสอบเป็นเรื่องที่เรารู้อยู่แล้ว เป็นเรื่องที่เราชอบอ่าน เช่น เรื่องของไดโนเสาร์ที่เด็กผู้ชายมักรู้เรื่องดี เราไม่ต้องรู้ศัพท์มากก็อ่านออก แปลได้ และที่สำคัญทำข้อสอบได้ด้วยครับ

Vocabulary Test ซึ่งแน่นอนว่าคนรู้ศัพท์มากย่อมได้เปรียบครับ ดังนั้นเราต้องขยันท่องศัพท์มากๆๆแต่การท่องศัพท์อย่างเดียวไม่ทำให้เราสามารถจำได้หรอกครับ เราต้องนำไปใช้ วิธีที่ใช้ได้ดีสุด เกิดประโยชน์สูงสุดคือ นำศัพท์ที่จะท่องไปหาอ่านบทความสั้นๆครับแล้วเราจะได้ทำทั้ง Reading and  Vocabulary

Conversation พาธนี้เป็นพาธที่ตัดคนที่ไม่รู้เรื่องเลยออกจากคนที่พอรู้เรื่องบ้างนะครับ คือมันง่ายมาก แค่เราเรียนรู้ ฝึกฝนทำแบบฝึกหัดบ่อยๆก็ทำพาธนี้ได้แล้ว

ถ้าไม่รู้จะเริ่มพาธไหนหรือทำอะไรก่อนสำหรับคนที่อ่อนภาษาอังกฤษนะครับ ผมแนะนำให้เริ่มจาก Conversation และท่องศัพท์นะครับ เหตุผลที่ให้เริ่มจาก Conversation เพราะมันเป็นอะไรที่อยู่ในชีวิตของเราอยู่แล้วครับ 

"เพราะคำศัพท์เกิดจากการใช้ชีวิต" 

บทความที่ได้รับความนิยม